9 สิ่งที่ควรเช็คเป็นพิเศษ เมื่อใช้รถเกิน 100,000 กิโล

หมวดบทความ

 


อายุการรับประกันของรถยนต์ในปัจจุบันที่มาพร้อมกับรถใหม่ป้ายแดงจะอยู่ที่ 5 ปี หรือ 100,000 กม.ด้วยระยะทางดังกล่าวถือว่ารถคันนั้นผ่านการใช้งานมาพอสมควร อะไหล่ชิ้นส่วนต่าง​ ๆ ย่อมมีการสึกหรอชำรุด แล้วเราควรตรวจเช็กที่อะไหล่ส่วนไหนของรถเป็นพิเศษบ้าง มาดูกันครับ

  1. ยาง : ปกติแล้วเราควรตรวจเช็กยางรถยนต์ในระยะทุก​ ๆ 5,000 กม. หรือทุก​ ๆ 6 เดือน แต่ถ้ายางยังมีดอกและรีดน้ำได้ปกติไม่มีความเสียหายก็ยังไม่ต้องเปลี่ยน แค่สลับยางก็เพียงพอ โดยเฉลี่ยแล้วอายุการใช้งานของยางจะอยู่ที่ 70,000 – 100,000 กม. ถือเป็นตัวเลขอายุการใช้งานที่ควรเปลี่ยน

  2. ระบบของเหลวในรถ : น้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์, น้ำมันพาวเวอร์, น้ำมันเครื่อง, น้ำยาหล่อเย็น, น้ำมันเฟืองท้าย, น้ำมันคลัช ทั้งหมดนี่คือระบบของเหลวที่จำเป็นกับรถ

  3. หม้อน้ำ : ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์เป็นส่วนที่สำคัญ ควรตรวจเช็กการทำงานของหม้อน้ำทั้งระบบ ครีบระบายความร้อน, พัดลมไฟฟ้า, วาล์วน้ำ, ฝาหม้อน้ำ, น้ำในถังพักน้ำ

  4. สายพานไทม์มิ่ง : สายพานไทม์มิ่ง หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดี สายพานราวลิ้น หากเกิดขาดขึ้นมาอาจทำให้ก้านสูบหัก ลูกสูบแตก และวาล์วคดงอ อายุการใช้งานของสายพานไทม์มิ่ง จะอยู่ที่ 100,000 กม. หรือสามารถเปลี่ยนก่อนได้หากรู้สึกว่าสายพานไทม์มิ่งเริ่่มมีรอยแตกร้าว

  5. ท่อน้ำทั้งระบบ : ท่อยางหม้อน้ำบน-ล่าง เนื่องจากต้องทำงานกับอุณหภูมิที่ร้อนและมีแรงดันสูง จึงทำให้มีการชำรุดกรอบได้ง่าย

  6. ระบบช่วงล่าง : ควรตรวจเช็กยางหุ้มเพลาขับ, ลูกปืนล้อหน้าเเละหลัง, ผ้าเบรกกับจานเบรก, ลูกหมากต่าง​ ๆ

  7. แบตเตอรี่ : ปกติแบตรถมีอายุการใช้งานราว 2 ปี ต้องมีการเปลี่ยนก่อนระยะ 100,000 กม.อยู่แล้ว ลองตรวจเช็กดูอีกครั้งว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่อีกครั้งหรือไม่

  8. หัวเทียน : หากรู้สึกว่าเครื่องยนต์มีอาการสะดุด หรือเดินไม่เรียบก็ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนหัวเทียน

  9. ไส้กรองอากาศ / ไส้กรองแอร์ : ปกติควรหมั่นทำความสะอาดเปลี่ยนกรองอากาศทุก​ ๆ 5,000 กม. และควรเปลี่ยนทุก​ ๆ 20,000 กม. เพราะหากไส้กรองอากาศอุดตันจะส่งผลเสียต่อการทำงานของเครื่องยนต์ไม่ปกติ ขณะที่ไส้กรองแอร์ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กม. ดังนั้น เมื่อครบระยะหนึ่งแสนกิโล ก็ควรจับเปลี่ยนอีกครั้ง เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคนที่ต้องใช้รถทุกวัน

 

นี่เป็นเพียงชิ้นส่วนเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีการตรวจเช็กเท่านั้น ดังนั้น หากรู้สึกว่าเกิดความผิดปกติใด​ ๆ ก็ควรรีบนำรถไปแก้ไขให้เร็วที่สุด ปัญหาจะได้ไม่บานปลายนะครับ